วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้เรื่อง..สุขภาพ


เมื่อเป็นหวัดต้องทำอย่างไร


สำหรับผู้ที่เป็นหวัดนั้นอาจจะมีอาการเบา – หนัก  ต่างกันซึ่งแล้วแต่ความแข็งแรงของร่างกาย(ที่ได้รับเชื้อหวัด  บางมีแค่อาการทั่วๆไปเช่น  จาม น้ำมูกไหล  บางรายอาจจะ เป็นไข้ขึ้นสูง  เจ็บคอ  เพราะฉะนั้นเราควรดูแลในช่วงที่เป็นหวัด  ให้บรรเทาให้เร็วขึ้น   และช่วยให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ยาก

-  ต้องดื่มน้ำมากๆ  อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ  การที่เราเป็นไข้ร่วมด้วยนั้นทำให้ร่างกายเราร้อนและอ่อนเพลียการดื่มน้ำเข้าไปจะไปช่วยในการปรับอุณหภูมิของร่างกายและทดแทนน้ำที่เสียไปได้  ช่วยปรับความสมดุลในร่างกายให้ไข้ลดลง
-  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ที่มีวิตามินซีเยอะๆ  อย่างเช่น ส้ม  จะให้ร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น
-  นอนหลับผักผ่อนให้เพียงพอ  ควรที่จะหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อให้ร่างการผักผ่อนในระยะฟื้นตัว  ร่างกายต้องกำจัดเชื้อโรคออกไป  เป็นการพักผ่อนด้วยการนอนหลับ  จะทำให้ร่างการฟื้นตัวเร็วขึ้น
-   หากมีอาการใข้ขึ้นสูงควรที่จะหาผ้าซุบน้ำมาเช็คตัวเป็นระยะควรที่จะเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้อง
-   งดรับประทานสิ่งของที่เป็นพิษต่อร่างกาย  อย่างเช่น  ชา  กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
-   ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ  หากอากาศมีความเย็นจัด  ให้ห่มผ้าเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ
-   หากมีอาการเจ็บคอให้ทำการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
-   อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆ  แต่ให้ค่อยเช็ดไม่ควรเอาน้ำมูกกลับเข้าไป  หากมีอากาศมากให้เสริมหมอนสูงขึ้นอีก  เพื่อให้หายใจสะดวกมากขึ้น
-   หากมีอาการยังหนักอยู่ให้รีบไปพอแพทย์ทันที  เพราะอาจจะมีโรคแทรกช้อน  หรืออาจจะเป็นเชื้อหวัดที่ต้องได้รับการดูรักษาเป็นพิเศษ


การดูแลเมื่อความดันสูง


   ความดันโลหิตสูงนี้ หมายถึงแรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง อันเกิดจากการสูงฉีดของหัวใจ ค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือความดันช่วงบน (แรงดันขณะที่หัวใจบีบตัว) และความดันช่วงล่าง (แรงดันขณะหัวใจคลายตัว)

การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งติดตามผลการรักษาที่แน่นอนคือ การตรวจวัดความดันโลหิต การสังเกตดูอาการอย่างเดียวมันไม่แน่นอน เนื่องจากโรคนี้ส่วนมากจะไม่แสดงอาการ คนทั่วไปจึงเข้าใจผิดว่าความดันสูงจะปวดหัวหากตอนไหนไม่ปวดคิดว่าความดันปกติจึงไม่ทานยาต่อเนื่องตามแพทย์บอก จริงๆแล้วความดันโลหิตสูงที่แสดงอาการปวดศรีษะนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย และอาการปวดศัรษะส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงอาการปวดศีรษะ ก็มิได้หมายความว่า ความดันไม่สูง ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรหยุดนาเอง ถึงแม้ว่ารู้สึกสบายดีหรือความดันลดลงแล้วก็ตาม การลกยาหรือหยุดยาควรให้หมอผู้รักษาเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากหากเราปล่อยให้ความดันโลหิตสูง และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ สมอง ตา ไต หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เป็นต้น

ในการรักษานอกจากจะรักษาโดยวิธีการใช้ยา ยังมีการใช้วิธีพฤติกรรมบำบัดซึ่งวิธีนี้จะให้ร่วมกับการใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงที่แพทย์ผู้รักษาสั่งจ่าย ดังนั้นจะขอแนะนำเกี่ยวกับข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการักษาโรคนี้คู่กับการใช้ยาลดความดัน ได้แก่

1. ควรจำกัดปริมาณ เกลือโซเดียมกินไม่เกินวันละ 2.4 กรัม (เทียบเท่าเกลือแกง 1 ช้อนชา) โดยงดการกินอาหารเค็ม เนื้อเค็ม ไขเค็ม น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดองเกลือควรกินอาหารทีมีรสจืดที่สุดเท่าที่กินได้เวลาเลือกอาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปให้เลือกที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ

2. ควรลดน้ำหนัก โดยการงดกินอาหารที่ไม่ไขมันชนิดอิ่มตัว งดของทอด เนื้อ หรือหมูติดมัน ควรกินอาหารที่ทำโดยการต้ม นึ่ง และงดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ควรกินผักและผลไม้ให้มากขึ้น

เซซามิน งาสกัดล้างพิษตับ อาหารบำรุงตับ – บ่อบำบัดของเสียร่างกาย


   จากสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมลภาวะในสิ่งแวดล้อม  สิ่งปนเปื้อนและสารเคมีที่ตกค้างในอาหาร  ทำหร่างกายเราเป็นแหล่งสะสมสารพิษ  เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกายเราเป้นแหล่งสะสมสารพิษ  เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย  จึงมีผู้นิยมล้างพิษแก่ร่างกาย  ไม่ว่าจะเป็นการกิน  การอด  สวนลำไส้ฝึกลมปราณ  ฝึกสมาธิ  เป็นต้น
คุณทราบหรือไม่ว่า “งา”  ที่เรานำมาทำอาหารและขนมต่างๆ  นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  เพราะมีสารอาหารเกือบครบถ้วนแล้ว  งายังมีประโยชน์ต่อการล้างพิษด้วยเหมือนกัน  ทั้งนี้  ก้เพราะวาเป็นอาหารบำรุงตับที่ถือเป็นบ่อบำบัดของเสียออกจากร่างกาย
        โดยปรกติร่างกายของเรามีการกำจัดของเสียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ  ลมหายใจออก  เหงื่อและอุจจาระอยู่แล้ว  โดยมีตับเป็นตัวทำลายพิษ  และตระเตรียมการจัดส่งสารพิษออกจากร่างกาย  ทั้งนี้  ตับจะกำจัดของเสียผ่านทางเลือดแดงที่ออกทางหัวใจ  ซึ่งทุกครั้งที่หัวใจบีบตัวจะมีการส่งผ่านเลือดจำนวน 1 ใน 4 ผ่านตับ  เพื่อทำการกรองและกำจัดสารพิษที่ปมมากับอาหาร  ก่อนจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกาย
        “งา”  มีสารสำคัญที่ช่วยบำรุงตับคือ  “เซซามิน”  โดยการวิจัยล่าสุดพบว่าเซซามินที่ได้จากการสกัดงามีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ  โดยการวิจัยให้หนูกินอาหารที่มีเซซามินผสมอยู่  พอว่าเซซามินมีฤทธิ์ปกป้องตับจากการถูกทำลายโดยเอทิลแอลดฮอล์  ซึ่งสามารถวัดได้จากการถูกทำลายโดยเอทิลแอลกอฮอล์  ซึ่งสามารถวัดไว้ได้จากรดับสารเคมีในเลือด  และจากการทดสอบฤทธิ์ในการปกป้องตับจากการถูกทำลายด้วยคาร์บอนเต้ตร้าคลอไรค์  (สารเคมีที่เป็นพิษและอาจทำให้เกิดมะเร็งที่ตับ)  และป้องกันด้วยเสื่อมสภาพของเส้นเลือดในตัวได้อีกด้วย
         ไม่เพียงเท่านั้นในแต่ละเมล็ดเล็กๆ  ของงายังมีสารอาหารสำคัญๆ  เต็มไปหมด  ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน  ไขมัน  วิตามิน  และแร่ธาตุมากมาย  เช่น  วิตามินบี 6 ธาตุเหล็ก  ไอโอดีน  สังกะสี  ทองแดง  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  โพแทสเซียม  และใยอาหารดังนั้น  การรับประทานงาเป็นประจำเป็นต้องเคี้ยวเมล็ดงาให้ละเอียด  แต่หากไม่สะดวกอาจเสริมด้วยการรับประทานเซซามินที่ได้จากการสกัดงาซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะได้เซซามินง่ายขึ้น
         แม้เราไม่สามารถหลีดเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดสารพิษจากการรับประทานอาหารหรือแม้การรับประทายยา  การผักผ่อนไม่เพียงพอ  รวมทั้งการเจ็บป่วยต่างๆ  เพราะเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งทำให้ตับทำงานหนักขึ้น  ร่างกายมีสารพิษตกค้างจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามา
         ถึงเวลาแล้วที่ต้องช่วยตับขจัดสารโดยการเติมคุณค่าดีๆ  ที่มีในงาอย่างเซซามินให้กับสุขภาพของเรา
วิธีเพิ่มคุณค่าดีๆ  จากเซซามิน
     1. ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมงาดำนอกจากจะช่วยล้างพิษแล้วยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายอีกด้วย
     2. รับประทานสลัดผักสด  น้ำสลัดครีมงาดำ
     3. ข้าวกล้องข้าวต้มหรือข้าวกล้องต้มหรือข้าวกล้องข้าวผัดโรยงาดำหรืองาขาว
     4. เวลารับประทานซุปผักหรือซุปกระเทียม  ให้โรยงาบดลงไปด้วย
     5. ทำสมูทตี้หรือน้ำผลไม้ผสมโยเกิร์ต  ให้ใส่งาบลงไปด้วย
     6. ดื่มน้ำเต้าหู้ใส่งาดำหรือน้ำงาดำไม่หวานแทนการดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ฯลฯ
         แต่วิธีการทางธรรมชาติที่ดีที่สุดที่คุณสามารถจะล้างพิษให้กับตนเองได้ทุกวันก็คือ การรู้จัดเลือกอาหารที่ไม่เป็นพิษหรือทำลายสุขภาพเช่น  เลือกกินอาหารให่หลายกลายครบ 5 หมู่ ปริมาณเหมาะสม  ไม่กินอาหารที่มีน้ำตาล  แป้ง  เกลือ  และไขมันมากเกิดความจำเป็น  รู้จักเลือกอาหารที่เป็นแหล่งใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ เช่น ผัก ผลไม้สด และต้องพิถ๊พิถันในการเลือกซื้อ ไม่เลือกเฉพาะให้สารเคมี  ควรล้างผ่านน้ำไหล  อีกอย่างต้องหลีกเลี่ยงสิ่งทำลายสุขภาพ  ได้แก่  ได้แก่แอลกอฮอล์ บุหรี่ และกาแฟอีน และต้องไม่ลืมเสริมความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

ตำราอาหารสมอง

    อาหารนับร้อย นับพัน นับหมื่นชนิดได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยบรรพบุรุษของเราเป็นผู้คัดสรรว่าสิ่งใดที่กินได้หรือกินไม่ได้ จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนปรุงรสให้อร่อยถูกลิ้นกลายเป็นสูตรอาหารต่างๆ และเริ่มเผยแพร่ต่อๆ  กันมายังชนรุ่นหลัง โดยใช้วิธีการถ่ายทอดหลายทางแต่ที่เด่นๆ คือ แบบปากต่อปากและถ่ายทอดลงตำราต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง
    อาหารนั้นมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไป เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย อาหารบางรายการไม่มีใครรู้จักแล้ว หรือรู้จักวิธีการทำอาจต้องใช้วัตถุดิบที่หาได้ยาก  หรือมีวิธีการปรับปรุงอันซับซ้อนจำเป็นต้องตัดขั้นตอนสำคัญบางส่วนทิ้งลงไปทำให้สูตรอาหารนั้นปรับปรุงง่ายขึ้นแต่ไม่ครบเครื่อง  รูปลักษณ์และรสชาติของอาหารรายการนั้นก็จะเปลี่ยนไปด้วย
    การบันทึกรายการอาหารต่างๆ ไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ้ง เปรียบประดุจว่าเป็นการบันทึกวิธีการปรับอาหารลงศิลาจาลึกเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ค้นคว้า  แม้ในโลกที่มีแต่เทคโนโลยีแสนเลิสล้ำนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายไปเสียหมดหรือเพียงใช้กดปุ๋มคุรก็จะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ ตั้งแต่เครื่องมือเครื่องใช้ไปถึงอาหารการกินคุณก็สามารถใช้นิ้วสั่งได้อย่างรวดเร็ว
    เราไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านนั่งอ่านสูตรอาหารเพื่อศึกษาส่วนประกอบและคุณค่าต่างๆ  เมื่อถึงมื้อเราจะสนใจเพียงว่ามีอาหารร้านใดที่เป็นจานด่วนที่สุด  อร่อยที่สุดเรื่องคุณค่าไว้คิดทีหลัง  หรือไม่ก็เก็บไปคิดถึงวันที่ต้องนอนให้เกลือหยอดน้ำข้าวอยู่โรงพยาบาล  เมื่อถึงวันนั้นจากตำราอาหารสารพัดก็ต้องเปลี่ยน  เป็นตำรายาแทน
     ชนชาติจีนซึ่งถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับอาหารมากเป็นอันดับหนึ่งและมีการรวบรวมสูตรอาหารต่างๆ  ไว้อย่างชัดเจนที่สุด  ยังไม่สามารถเก็บตำรายาและอาหารไว้ได้อย่างครบถ้วนเช่น  ตำรา “ชินถังชู้”  เป็นตำราที่สอนให้รู้จักวิธีการกิน  โดยกล่าวถึงส่วนประกอบของอาหารว่าชนิดใด    ควรกินในฤดูกาลใด  เพื่ออะไร  ซึ่งเนื้อความที่สมบูรณ์ของตำราเล่นนี้ได้หายไป  ทำให้ชนรุ่นหลังไม่มีข้อมูลที่แท้จริง  เพื่อศึกษาการปรุงอาหารบางชนิดที่เป็นสูตรลับเฉพาะ  มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาโรคภัยต่างๆ  เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง
     แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีอันทันสมัย  แต่หากไม่มีหนังสือ  เทคโนโลยีเหล่านั้นก้ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ ณ เวลานี้  เราควรได้รับข้อมูลอย่าครบถ้วน  เพื่อบำรุงสมองอันอ่อนแอให้แข็งแรงด้วยเสื่อผสม  โดยการอ่านหนังสือ  ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ไปด้วย  เรื่องราวในหนังสือนั้นจึงเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและร่างกายของเราก้จะแข็งแรงด้วยสูตรอาหารนานาชาติที่คุงคุณค่าดังเดิม

เคล็ดไม่ลับในการเลือกอาหารไขมันต่ำ


อาหารเช้า
-      มีผลไม้ หรือน้ำผลไม้ 100%  ½-1 แก้ว
-     ข้าวแป้ง ขนมปัง เลือกชนิดไม่ขัดสี หรือขัดสีน้อยจะได้เพิ่มใยอาหาร (วันละ 6- 8 ทัพพี)
-     ใช้นำมันให้น้อยที่สุดเพราะต้องสงวนไว้ใช้ในมื้อเย็น (เพราะกินข้าวหลายอย่าง)
-     เพิ่มผักในเมื้อเช้า 1 ทัพพี
อาหารว่าง
-     เลือกกินผลไม้แทนขนมอบประเภทเบเกอรี่
-     เครืองดื่มร้อนหรือเย็นไม่ใส่ครีมผง  ถ้าใช้นมขอเป็นนมไขมันต่ำ
อาหารกลางวัน
-     เลือกอาหารจานด่วนแบบไขมันน้อย ถ้าเป็นของทอดกรอบ ผัด จะมีน้ำมันมาก
-     อาหารจานด่วนที่มีหลายขั้นตอน เช่น ข้าวผัดใส่ไข่ ก๋วยเตี๋ยว กระเพราะปลา แต่ละ ขั้นตอนจะเพิ่มน้ำมันทุกครั้งจึงควรเลี่ยง
-     อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ต้องใส่น้ำมันเจียวแต่ขอผักเพิ่ม ขอหมูชินไม่ติดมันแทน  หมูสับปนมันและไม่ใส่เครื่องใน
-     ขนมหวานถ้าอยากรับประทาน ไม่ราดหน้าด้วยกะทิหรือเปลี่ยนเป็นผลไม้หลากรสก็ดีกว่าเป็นไหนๆ
-     ดื่มน้ำสะอาดแทนเครื่องดื่มเย็นประเภทยกล้อ(กาแฟร้อนใส้นมเยอะๆ)
อาหารเย็น
-     เลือกไม่ซื้อกับข้าวสำเร็จรูปที่มีกะทิ  ผัดเผ็ดแบบทอกกรอบ  น้ำมันลอยหน้า แกงจืดที่ซื้้อ มาควรอุ่นให้ร้อนๆ  ก่อนรับประทานอาหาร  ถ้ามีน้ำมันกระเทียมเจียวลอยหน้าก็จะได้ตักออกง่าย
-     ถ้าชอบผัดผักให้ปรุงแบบไทยสไตล์ฝรั่ง คือใช้น้ำมันแต่น้อย
-     เลือกอาหารที่ปรุงแบบ  อบ  ต้ม  ย่างนึ่ง  ยำ  ลาบ  ตุ๋น  ดีกว่าทอดหรือผัด
อาหารเพื่อสุขภาพ
        ข้าว – แป้ง : เลือกที่ผ่านการขัดสีน้อย
        ผัก – ผลไม้ : เลือกรับประทานสดหรือเป็นกระป๋องแต่ไม่ใช่มุเรียน  อโวคาโด  ลำไย  มะพร้ามกะทิ
        เนื้อสัตว์ : เลือกปลา  เต้าหู้  ถั่วเมล็ดแห้ง  แทนเนื้อ  สัตว์ที่มีมัน  หนัง  หรืออาหารแปรรูป
        นมและผลิตภัณฑ์จากนม : เลือกนมไขมันต่ำ   ผลิตภัณฑ์ไม่มีส่วนผสมของครีม
        ไขมัน : เลือกน้ำมันพืชแทนไขมันจากสัตว์กระทิมะพร้าม
ใยอาหารเกี่ยวข้องอะไรด้วย
       ใยอาหารมี 2 ประเภท  คือ  ประเทภที่ 1 จะช่วยกวดล้างลำใส้ให้สะอาด  ป้องกันมะเร็งลำใส้  ได้แก่  พวกก้านผักต่างๆ  ส่วนอีกประเภทหนึ่งจะช่วยโอบอุ้มโคเลสเตอรอลในลำไส้ออมากับอุจจาระ  พวกนี้มีใน  ผลไม้ถั่วแห้ง  ผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย  ได้แก่  แอปเปิล  มะกอกฝรั่งสตอเบอรี่  พุทรา  ลูกหม่อน  ตะขบ  ตะลิงปลิง  เมล็ดฝักบัว  สาลี่  เป็นต้น
เมื่อไปกินอาหารนอกบ้าน
        ร้านอาหารในบ้านเรามาจากทุกทวีป  ไม่ว่าจะชิมรสชาติใดล้วนแต่อร่อยถูกปากคนไทย  เราจึงสมบูรณ์เกินกว่ามาตรฐานชาย – หญิงกันแล้ว  เมื่อไปกินอาหารนอกบ้านควรพินิจดังนี้
        อาหารฟาสต์ฟูต : เลือกที่ไม่ใส่ชีส  ไส้กรอก  ของทอดไข่  มายองเนส  เลือกเนื้อสัตว์ที่เป็นนี้ออก  รับประทานกับสลัดผักน้ำใส  ถ้าเป็นน้ำข้นราดน้ำน้อยๆ  ก้พอไหว  ส่วนเครื่องดื่มต้องไม่ใส่ไอศรีม  นม  หรือประเภทมิลค์เว็คก็ไม่ได้นะ  ไอศกรีมเห็นที่ต้องงด  แต่ถ้าอดไม่ไหวของแค่คำสองคำก็น่าจะหายอยากได้  ถ้าเลือกกินอาหารแบบไทย – อีสาน  ได้จะแจ๋วมาก
        อาหารอิตาเลียน : คงต้องต้องเลี่ยงพวกชีส  เนย  หรือซอสที่ผสมครีม  เลือกเมนูที่ใช้น้ำมันมะกอกดีกว่า
        อาหารจีน : ส่วนใหญ่ใช้นำมันมากและใช้เนื้อสัตว์มีมัน  ผัดผักก็มีน้พมันมากพอดู  ควรคีบอาหารส่วนบนส่วนบนๆ  น้ำมันน้อย  หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตวืสับ  เพราะมันมีมันปนมาก  ยิ่งของทอดด้วยแล้วต้องงดหรือเพียงแต่ซิมก็พอ  ส่วนขนมหวานถ้าเป็นลอยแก้วสบายมาก  รับประทานได้  แต่ระวังน้ำหนักขึ้นด้วย
        อาหารญี่ปุ่น : น่าจะดีกว่าเพราะมีไขมันต่ำที่สุด  แต่บางอย่างอาจมีเบคอนหรือมายองเนสผสมอยู่ด้วย  คงต้องเลือกเมนูก่อนสั่ง  แต่ส่วนใหญ่ก็โอเค
        การช่วยให้สุขภาพปลอดไขมันส่วนเกินจากอาหารจะสำเร็จได้คงต้องควบคุมพฤติกรรมดารกิน  ซึ่งอาจยากสักหน่อยในช่วงแรกๆ  แต่ถ้าทำเป็นประจำวันจะกลายเป็นความเคยชิน  เมนูอาหารประจำวันของเรามีมากมายหลายหลากหลายเลี่ยงอย่างหนึ่งมาเลือกอีกอย่างหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องยากหรือลดปริมาณการกินที่มีไขมันลงบ้างก้ยังไม่ใช่เรื่องยากหรือลดปริมาณการกินอาหารที่มีไขมันลงบ้างก็ยังคงให้คุณอร่อยกับอาหารได้เหมือนกัน  คุณต้องตั้งมั่นโดยบอกตัวเองและคนที่คุณรักว่าไขมันในเลือดสูงสามารถป้องกันได้ด้วยตัวคุรเอง  เพียงลดการกินน้ำตาล  ไขมัน  เลือกชนิดและส่วนของเนื้อสัตว์ให้ถูกต้อง  เพิ่มผัก  ผลไม้  ให้ได้ใยอาหาร  ควบคุมน้ำหนัก  ออกกำลังกายบ้าง  และทำจิตใจให้ผ่องใส  นั่นแหละชีวิตที่มีคุณภาพและปลอดไขมันที่เป็นต้นเหตุของโรคมากมาย

ความลับของอาหารที่ทำให้สาวญี่ปุ่นอ่อนกว่าวัย


       สาวญี่ปุ่นพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาหุ่นให้ดูดีผอมเพรียว และนั่นเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า ว่ากันว่าถ้าคุณทานอาหารญี่ปุ่นทุกวัน  ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับร่างกายของคุณในไม่ช้า  ทั้งนี้เพราะในอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ประกอบด้วยผักและปลา ซึ่งมัไขมันต่ำมาก
       องค์การอนามัยโลกระบุว่า สาวชาวญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีอายุยืนมากที่สุด และรักษาสุขภาพดีที่สุดในโลก หลายปีที่ผ่านมาพวกเธอไม่เคยเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรือต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่ย  เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงในภูมิภาคอื่นพวกเธอมีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคหัวใจต่ำ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญเป็นเพราะอาหาร
       การกินและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น
       เริ่มต้นเคล็ดลับแบบโตเกี่ยวได้เสียแต่บัดนี้
    1. การนำเสนอเป็นกุญแจสำคัญ เสิร์ฟอาหารแต่พอประมาณบนจานสวยๆ ใบเล็ก จะช่วยให้คุณประทับใจกับอาหาร ผู้หญิงญี่ปุ่นยังยึดสุภาษิตที่ว่า “ฮารา  ฮาซิ  บันเม” ซึ่งหมายถึงทานให้อิ่มแค่ 80%
    2. เน้นปลา ผัก ข้าว ถั่วเหลือง และผลไม้ คิดถึงผักเป็นอาหารจานหลักไม่ใช่แค่เครื่องเคียง
    3. ทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ข้าวกล้อง งดขนทป้งขาว มัฟฟิน หรือขนทปังโรลต่างๆ
    4. ใช้น้ำมันเรพสีดอออยส์ (rapeseed  oil) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวปรุงอาหาร  เป็นน้ำมันปรุงอาหารยอดนิยมอันดับหนึ่งของชาวญี่ปุ่น
    5. เปลี่ยนจากชาดั้งเดิมเดิมมาเป็นชาเขียว  จากการศึกษาพบว่า  ชาเขียวมีเคทชินโพลิฟินอลส์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นในเกิดการเผาผลาญแคลอรี่  นอกจากนี้ชาเขียวอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิเดนต์  ซึ่งช่วยซะลอความแก่…ดื่มซะ
    6.  เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง  รูปแบบการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมักไม่หยุดนิ่ง  พวกเขาออกกำลังอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน
ปั่นจักรยาน

ปวดหลัง ปัญหาใหญ่ของวัยทำงาน


    อาการปวดหลังเคยมาเยื่นคุรบ้างไหม ถ้าไม่เคย คุณเป็นคนหนึ่งที่โชคดีมากๆ เพราะจากตัวเลขผู้เข้าใช้บริการโรงพยาบาลจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนพบว่ากลุ่มคนทำงานเป็นกลุ่มที่ปวดหลังบ่อยจำนวนพอๆ กับผุ้สูงอายุเลยทีเดียว
    อาการปวดหลังนั้นมีหลายสาเหตุ  แต่หากสงสัยว่าอาการปวดหลังที่ปนะสบอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับการทำงานแล้วล่ะก็  ลองพิจารณาดูปัจจัยต่อไปนี้  ว่าคุณประสบอยู่หรือไม่
  • ปวดหลัง หลังจากการทำงานที่ต้องนั่งนานหรือมีท่าการทำงานท่าเดียวนานๆ มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เช่น บิดเอี้ยวตัวอย่างแรงและเร็วจนอาจทำให้กระดุกสันหลัง แอ่นโค้งหรือบิดงอได้ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหลัง
  • มีอารมณ์เครียดจากการทำงาน  เป็นระยะเวลานาๆ  เรื่องของอารมณ์นี้  คุณคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลัง  แต่กายและจิตใจเชื่มต่อกัน  ความเครียดของคุณส่งผลต่อการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ  และทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน
  • อาการปวดหลัง เกิดหลังจากยกของหนัก หรือขนย้ายสิ่งของด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ก้มตัวลงมาหยิบของ แล้วยืดขึ้นทันที หรือเอี้ยวตัวรับของ รวมทั้งกรณีที่ต้องแบกรับน้ำหนักที่มากเกินไปเป็นเวลานานๆ
  • ลักษณะการทำงาน ต้องคุกเข่า คลาน ปีน หรือขึ้นลงบันไดเป็นเวลานานๆ หรือเป็นประจำ เอื้อต่อการปวดหลังมากขึ้น
  • ปวดหลังเพราะร่างกายขากความยืทดหยุ่น  ขาดการออกกำลังกายนานๆ จนกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง  ส่งผลไม้เมื่ออยู่ในท่าใดนานๆ จะเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย
    เมื่อสงสัยว่าอาการปวดหลังที่พบเห็นนั้น อาจจะมาจากการทำงาน เพราะลักษระงานเอื้อต่อการปวดหลังอย่างมาก  บางคนต้องนั้งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานกว่าวันละ 8 ชั่วดมง อยุ่ทำโอทีอีก 3 -4 ชั่วโมงหลังเลิอกงาน หรือเข้าสู้ช่วงงานเร่ง ต้องทำงานล่วงเวลา  และการทำงานสมัยนี้หลายคนก้ต้องอาสัยอินเตอร์เน็ตเพื่อการติดต่อสื่อสาร หรือหาข้อมูล ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งเป็นเวลานานๆ
    อาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งทกำงานนานๆ นั้น ส่วนมากมักมาจากการปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อต้องเกร็งตัว โดยฌฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลังต้องใช้พลังงานที่สพสมเอาไว้ไปกับการเคลื่อนไหวเมื่อพลังงานสะสม  ก็เริ่มออกอาการ คือ เมื่อยล้า ถ้าเริ่มรู้สึกปวแหมื่อย ลองเปลี่ยนท่า เปลี่ยนอิริยาบถพักผ่อนบ้าง เอนหลังพิงพนักแล้วหลับตา หรือลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังเล็กๆ  น้อยๆ พอให้เปลี่ยนท่าทางบ้าง กล้ามเนื้อก็จะสดชื่นขึ้นมา
    แต่ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาคือทำงานเพลิน ทำงานไปเรื่อยจนลืมอาการปวดหลัง จึงไม่ได้ลุกออกมาเปลี่ยนท่าทาง นั่นหมายความว่ากล้ามเนื้อเราก็ต้องทำงานต่อเนื่องยาวนานเช่นกัน ความผิดปกติ จึงเพิ่มจากเมื่อยล้าล้าเป็นปวดหลัง อาจมีอาการแข็งร่วมด้วย เพราะกล้ามเนื้อเกร็งตัวจนขาดเลือดไปเลี้ยงมีกรดแลคติดสะสมในกล้ามเนื้ออันเกิดจากความเนื่อยล้า อาการนี้สะสมยาวนานจะกลายเป้นปัญหาต่อการทำงานได้ เพราะกล้ามเนื้อจะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพเรื่อยๆ
     ดังนั้น เมื่อเริ่มมีอาการปวดหลังอย่านิ่งนอนใจแล้วปล่อยให้ร่างกายต้องทนรับสภาพกล้ามเนื้ออ่อนล้า เพราะเพียงแค่คุณสละเวลาแก้ปัยหาปวดหลังตั้งแต่ยังไม่เริ่มอาการหนักก้จะช่วยได้เยอะโดย
  1. เปลี่ยนท่าทาง : กฏเหล็กของการทำงานคือ ไม่ควรทำงานด้วยท่าหนึ่งท่าใดนานๆ ต้องเปลี่ยนท่าอยู่เรื่อยๆ หรือปล่อยเอนหลังให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อนบ้าง
  2. ออกกำลังกายท่าง่ายๆ : ถ้าเมื่อย เหนื่อยล้า ลองลุกมายกแขน ขา เหมือนท่ากายบริหารสมัยเด็กๆ เช่น ท่าหมุนคอ ท่าก้มแตะ หรือท่าเขย่งปลายเท้า  สามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั้งนั้น  โดยแต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 5 วินาที
  3. คลายปวดด้วยการประคบรอ้น :  หากอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้นสามารถใช้การประคบร้นช่วยได้โดยหาซื้อ Cold/Hot pack  ติดไว้ที่ทำงาน  เมื่อเริ่มอาการปวดหลัง  ให้นำแผ่นเจลแช่น้ำร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวด  สัก 10 – 20 นาที  วิธีนี้ใช้ได้ดีทั้งปวดหลัง  ปวดไหล่  และถ้าวันไหนปวดหัว  มีไข้ก็ยังนำไปแช่ตู้เย็น  ทำเป้นแผ่นประคบเย็นได้
  4. หมอนสารพัดประโยชน์ : ในที่ทำงานถ้าสามารถหาหมอนอิงสักใบ  มาไว้แก้เมื่อยจะช่วยได้มากหวกปวดหลังให้นำหมอนมารองบริเวณที่มีอาการปวด  รองแถวๆ  บั้นเอว  จะช่วยได้  หรือหากเก้าอี้เตี้ยเกินไป  ทำให้ต้องโน้มตัวไปทำงาน  ก็ให้เปลี่ยนหมอนมารองนั่ง  เพิ่มความสูงขึ้นมาให้พอดี
             นอกจากวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น  ป้องกันกันอาการปวดหลังแล้ว  ต้องลองพิจารณาอุปกรณ์ที่เราทำงานด้วย  เช่น  ขนาดของโต๊ะ  และเก้าอี้เหมาะกับสรีระของเราหรือไม่  ความสูงของเก้าอี้และโต๊ะ ควรได้ระดับที่แขนวางเป็นมุมฉากกับลำตัวพอดี  ปรับคอมพิวเตอร์ให้จออยู่ในระดับสายตัว  ส่วนแป้นคีย์บอรืดควรอยู่ในระดับข้อศอกจะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์  ส่วนเมาส์  ถ้าใช้แบบไร้สายได้  ก้จะเคลื่อนไหวได้อิสระขึ้น  เมื่อปรับท่าทางอย่างดีแล้ว ก็ทำงานได้เต็มที่แต่ไม่ควรเกิน 1 ซม. ต้องลุกไปเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
       ชีวิตทำงาน  กินเวลาไปกว่าครึ่งของชีวิตเรา  ถ้าหากทำงานแล้วส่งผลให้เจ็บป่วย  เมื่อยเนื้อ  เมื่อยตัว  นอกจากงานไม่ดีแล้ว  รายได้จากการทำงาน  ยังต้องเตรียมไว้ให้กับค่ารักษาพลายลาลอีกด้วย
       รักจะเป็นคนทำงานที่ลาด อนาคตไกล ต้องใส่ใจสุขภาพตัวเองเท่าๆ  กับงาน

11 อ. เพื่ออายุยืนยาว



    ประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านคนในอีก 6 ปีข้างหน้า และปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น คือ ผู้หญิง 70 ปี และผู้ชาย 68 ปี
    แต่พออายุถึงวัย 50 บางคนก็ดูทำอะไรช้าลง ระวังตัวมากขึ้น ไม่ค่อยมีความสดชื่น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ในตัว ในขณะที่อีกหลายๆ คน ทั้งที่อายุเลย 60 มาแล้ว แต่ก็ยังสดชื่นอยู่ ดูเป็นหนุ่มใหญ่ สาวใหญ่มาดดี มีเสน่ห์ และยังดูสนุกสนานกับสิ่งข้างๆ รอบตัว ดูมีคุณภาพชีวิตที่ดี

คุณภาพชีวิตที่ดี มีหัวใจสำคัญ 4 อย่าง
ร่างกายที่แข็งแรง (Biological)
จิตใจที่มีความสุข (Phychological)
วิญญาณ หรือความภาคภูมิใจในตัวเอง
สังคมดีๆ ที่อยู่รอบตัว (Social) เช่น ลูก หลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ รอบตัว

การปฏิบัติตน อย่างง่ายๆ ตามหลัก 11 อ.

   1. อาหาร
    ระยะอายุ 50 ปีเป็นวัยที่ควรจะช่วยประคับประคองการทำงานของเซลล์นับล้านๆ เซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ เพราะวัยนี้มีการเสื่อมถอยของระบบการทำงานในอวัยวะทุกระบบ และระบบการเผาพลาญอาหาร (metabolism) ดังนั้นควรลดปริมาณอาหารลง ให้สัมพันธ์กับการใช้พลังงานจริงคือประมาณ 1,500 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก และผลไม้วันละ 5 จานเล็ก

   2.อากาศ
    ถ้าได้ออกซิเจนที่ดีจากพื้นที่ดปร่งอย่างเช่น ในสวนสาธารณะตอนเช้าๆ จะทำให้เลือดที่สูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายมีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอทำให้เซลล์มีคุรภาพส่งผลให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไอเสียจากรถยนต์หรือโรงงาน ตลอดจนสียงดังจากเครื่องยนต์ต่างๆ โดยอาจจะมีการปลูกต้นไม้รอบๆ บ้านและสร้างรั้วที่มิดชิด

   3. ออกกำลังกาย
 ช่วยทำให้คงสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ และทำให้การสูบฉีดเลือดไหลเวียน (Blood Circulation) ไปเลี้ยงร่างกาย และเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างดี ทำไห้ร่างกาย และหัวใจทำงานได้อย่างราบรื่น

ผู้สูงอายุควรออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที

   4. อนามัย
- ไม่สูบบุรี่ เนื่องจากวัยเสื่อมถอย การสูบบุรี่จะทำให้ถุงลมปอดทำงานได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีคราบนิโคติน และสารพิษอื่นๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในบุหรี่ไปเกาะติดในหลอดลม และถุงลมปอด
- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ตลอดจนยาเสพติดประเภทต่างๆ
- สังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและจิตใจวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสังเกตพบความผิดความปกติในระยะเริ่ใต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดี
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

   5. (แสง)อาทิตย์
    การรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้า เพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพิ จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสของร่างกาย สามารถป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

   6. อารมร์
 ผู้สูงอายุจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น หงุดหงิด โมโหโกรธง่าย ทำให้ขาดสติในการพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล ต่อให้เกิดความขัดแข้งกับบุคคลอื่นได้ง่าย ต้องหาวิธีในการควบคุมอารมณ์ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การทำสมธิ การศึกษาธรรมะ จะช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย มีสติมากขึ้น

   7. อดิเรก
 ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือลดการหมกหมุ่นในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

   8. อบอุ่น
    การเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกโอบอ้อม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

   9. อุจจาระ / ปัสสาวะ
    ถ้ามีปัญหาเรื่องท้องผูก ส่งผลให้มีสารพิษตกค้างในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ถ้าเป็นบ่อยๆ การป้องกันการเกิดท้องผูก โดยการรับประทานอาหารผักผลไม้ดื่มากๆ และออกกำลังกายอบ่างสม่ำเสมอ ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราย เช่น การขมิบก้น และช่องคลอด

   10. อุบัติเหตุ
    ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุโดยวิธีการต่างๆ เช่น สายตายาวต้องใส่แว่นสายตา หูได้ยินไม่ชัดเจนต้องไปตรวจเพื่อแก้ไข สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมต้องไปปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

   11. อนาคต
    จะต้องมีการเตรียมเงินและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกัน ในการดำเนินชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยอายุ หลักการปฏิบัติตัวง่ายๆ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เท่านี้ก็สามารถเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แล้ว


“กล้ามเนื้ออ่อนแรง” ลางร้ายของระบบประสาท


   คนใช้รายหนึ่งมาพบหมอเพราะมือไม่มีแรง จับปากกาไม่ติดจนเซ็นชื่อไม่ผ่าน ส่วนอีกรายมีอาการเดินกะเพลกเหมือนคนเท้าแพลงแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ เชื่อหรือไม่ว่า คนไข้ทั้งสองรายนี้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน
   คนไข้รายแรกเป็นนักธุรกิจ ต้องทำงานใกล้ชิดกับเอกสารและการเงิน วันหนึ่งมาพบหมอเพราะมีปัญหาเซ็นเช็คไม่ผ่าน หมอให้คนใข้ลองเขียนตัวหนังสือให้ดู จึงสังเกตเห้นมือของคนไข้จับปากกาได้ไม่แน่นทั้งที่เป็นมือข้างที่ถนัด สันนิฐานเบื้องต้นว่า คนไข้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณมือ แต่เนื่องจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นอาการบ่งชี้ของโรคได้อย่าง จึงขออธิบายให้เข้าใจสาเหตุของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงกันก่อนนะครับ
    อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีสาเหตุมาจากโรค 2 กลุ่มหลักดังนี้ กลุ่มแรกเป็นโรคทางอายุรกรรม  ได้แก่ โรค Amyotrophic Laterral Sclerosis (ALS) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทไม่สามารถสั่งงานให้กล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ  ทั้งๆที่ยังแข็งแรงอยู่โรคนี้พบมากในผู้หญิงไม่จำกัดอายุ อีกโรคคือโรค Myasthenais Gravis (MG) เป็นโรคที่ระบบประสาทปกติ แต่กล้ามเนื้อกลับไม่สามารถสามารถทำงานได้ ทำให้มีอาการหนังตาตก ห้อย จากสถิติพบมากในผู้หญิงอายุ 25 – 35 ปี ทั้งสองโรคนี้ วงการแพทย์ยังไม่สรุปสาเหตุการเกิดโรคไดอย่างชัดเจนและยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทำได้เพียงกินยาเพื่อไม่ให้อาการทรุดหนักกว่าเดิมเท่านั้น และยังพบว่า หากในครอบครัวมีประวัติการป่วยโรคดังกล่าว ผู้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงก้มีโอกาศป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
    กลุ่มที่สองเกิดจากโรคทางศัลยกรรมเป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่มีสาเหตุจากหลายปัจจัย  เช่น อุบัติเหตุ อายุ หรือ น้ำหนักตัวที่มากขึ้น การนั่งเป็นเวลานานๆ ความเครียด และการไม่ออกำลังกาย  ล้วนเป็นสาเหตุทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมทับเส้นประสาทหรือแตก จึงเกิดภาวะผิดปกติของระบบประสาทส่งผลให้การสั่งการไปยังกล้ามเนื้อขัดข้อง ซึ่งวินิแยได้ด้วยการเอกซเรย์กระดูกสันหลังหรือต้นคอตามดุลยพินิจของหมอ ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าการรู้สาเหตุของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเบื้องต้นจะนำไปสู่การรักษาได้อย่งตรงจุด
    ดังที่กล่าวมาว่าอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นอาการที่บ่งโรคได้มากมาย ดังนั้นการถามประวัติคนไข้จึงมีความสำคัญในการวินิจัยเบื้องต้น หลังจากซักประวัติการป่วยเป็นโรค ALS หรือ MG หมอจึงให้คนไข้เอกซเรย์บริเวณต้นคอ
    ผลสรุปว่า คนใข้มีอาการหมอนรองกระดูกคอแตกทับเส้นประสาทจากอุบัติเหตุ จึงแนะนำให้คนใข้ผ่าตัดผ่านกล้อง Microscope เพราะแผลเล้กและใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หลังจากคนใข้ได้รับการตรวจเพื่อเตรียมพร้อมก่อนผ่าตัดแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงเข้ารับการผ่าตัดและกลับบ้านได้ในสองวันถัดมา เมื่อคนไข้ผ่าตัดและพักพื้นจนหายดี มือก็กลับมามีแรง สามารถหยิบจับของได้ตามปกติ
     ส่วนคนไข้รายที่สองเป็นนักประมูลงานรับเหมาก่อสร้าง มีอาการเดินกะเผลก แขนขาอ่อนรงและเกร็งมานานกว่าสามปี เดิมทีคนไข้รักษาด้วยการกินยาและนวดจับเส้น แต่ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ครั้งนี้คนไข้จึงเลือกมาพบหมอ แม้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของคนไข้รายนี้จะเกิดกับอวัยวะที่ต่างจากคนไข้รายแรก แต่หลังจากซักประวัติแล้วกลับพบว่าคนในครอบครัวไม่เคยป่วยเป็นด้วยโรค ALS หรือ MG เช่นกัน
      หมอจึงให้คนไข้เอกซเรย์ ก็พบว่ากระดูกคอของคนไข้กดทับไข่สันหลังอย่างมาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเสื่อมของกระดูก ส่งผลให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หมอได้แนะนำให้คนไข้ผ่าตัดผ่านกล้องเช่นเดียวกับคนไข้รายแรก แต่เนื่องจากอาการที่เป็นมานานกว่าคนไข้จึงต้องเข้ารับการกายภาพบำบัดหลังผ่าตัดและจำเป็นต้องมาพบหมออย่างต่อเนื่อง แม้จะกลับไปทำงานได้ตามปกติแล้วก็ตาม
       อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเล็กน้อยๆ  อาจเป็นสาเหตุลางบอกโรคร้ายที่คุณคาดไม่ถึง 
จึงไม่ควรละเลย  เมื่อมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรคตั้งแต่เนิ่นๆ  นะ

สูตรสวยตามสภาพผิว


ผลไม้เป็นเครื่องสำอางเติมสวยให้เราได้ทุกชนิด  แต่ถ้าจะให้ดี  ควรเลือกผลไม้ที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของคุร
ผิวหน้าหยาบกร้าน
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะละกอ
วิธีทำ  มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ  ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ ½ ช่อนชา  พอกทิ้งไว้ 20 นาที  แล้วล้างออก
ผิวแห้ง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : แตงกวา
วิธีทำ แตงกวาปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ  ผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา  และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา  พอกทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก
ผิวเป็นสิว
ผลไม้ที่คุณต้องการ : ขมิ้น
วิธีทำ  ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และโยเกร์ต 1 ช้อนชา  พอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที  ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
เป็นฝ้าและจุดด่างดำ
ผลไม้ที่คุณต้องการ : หัวไชเท้า
วิธีทำ  ปั่นหัวไช่เท้าให้ละเอียด  ผสมกับน้ำผึ้ง  ½ ช้อนชา  พอกทิ้งไว้ 20 นาที  แล้วล้างออก
รูขุมขนกว้าง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะเขือเทศ
วิธีทำ มะเขือปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ  ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างล่ะ 1 ช้อนชา  พอกทิ้วไว้ 20 นาที  แล้วล้างออก

วิธีดูแลหน้าใสไร้สิว


1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี
     สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้ใบหน้าสวยไร้สิวก็คือ  เธอต้องรู้จักวิธีล้างหน้าให้ถูกวิธีก่อน  วิธีก็ง่ายๆ  ไม่ยากเลย
        (1) ในตอนเย็น  ฌะอต้องทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางก่อน  เพราะในตอนเช้าเอได้ทาครีมกันแดด  ซึ่งครีมพวกนี้ล้างไม่ออกหมดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหนได้  ให้เธอและคลีนซึ่งลงบนใบหน้าเป็นจุดๆ  แล้วใช้ปลายนิ้วถูวนบนใบหน้าแบบทวนเข็มนาฬิกา  จากนั้นใช้สำลีแบบแผ่นเช็ดออกอย่างแผ่วเบา
        (2) ล้างหน้าสะอาดด้วยสบู่หรือสบู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะไม่แนะนำให้ใช้แบบสคับ  เพราะจะทำให้สิวผลได้  และห้ามล้างเกิน 2 รอบ  เวลาล้างสบู่ให้ถูเบาๆ  ไม่ต้องออกแรงเยอะ
         (3)  น้ำที่ใช้ล้างหน้าควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง
         (4) ล้างหน้าเสร็จ  ให้ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ  เน้นว่าเบาๆ 
         (5)  สุดท้ายเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วยมอยส์เจอไรเชอร์  เลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเธอด้วย
2. พกกระดาษซับมัน
     สำหรับคนที่มีผิวมัน  เธออย่าล้างหน้าบ่อยมาก  เพราะหลังล้างหน้าใบหน้าจะแห้ง  ทำให้ผิวเร่งการผลิตไขมันมากขึ้นไปอีกทางที่ดีให้ใช้กระดาษซับมัน  ซับออกอย่างเบาๆจะช่วยลดความมันได้ดี โดยไม่ต้องคอบล้างหน้าบ่อยๆ
3. ดื่มน้ำมากๆ
     น้ำเปล่าสะอาดจะช่วยเพิ่มความชุ่มซื้นให้แก่ผิว  ลดการผลิตน้ำมันสาเหตุของสิวได้อย่าดีเยื่ยม  แถมยังช่วยซะล้างของเสียอีกตั้งหาก
4. ออกกำลังกาย
    การออกกำลังกายก็ช่วยลดสิวได้เหมือนกัน  เพราะการออกำลังกายจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล  ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายแต่ที่สำคัญ  หลังออกำลังกาย  ต้องอาบน้ำ  ล้างหน้าให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้น  เหงื่อไคลจองเราอาจจะเป็นสาเหตุให้สิวพอกพูนได้
5. งดอาหารมันๆ
     อาหารมันๆ ประเภทอาหารทอดๆ  ผัดๆ  หรือไขมันสัตว์ทั้งหลายมีแต่จะเพิ่มพูนความมันในร่างกายของเราและก็เป็นแหล่งสะสมของสิว  เธอก็ควรงดอาหารจำพวกนี้ซะ  แล้วเน้นกินผัก  ผลไม้  จะช่วยให้ผิวใสแถมไร้สิวอีกต่างหากนะ
6. ทำความสะอาดเตียงที่นอน
      เตียงนอน  ปลอกหมอนที่เราต้องเอาหน้าไปสัมผัสทุกวัน  อาจจะเป็นสาเหตุของสิวอย่างที่คาดไม่ถึง  ดังนั้นให้ถอดออกมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์  แล้วผ้าห่มด้วย
7. ไม่ใช้แชมพูที่แรงเกินไป
       นอกจากการเลือกครีมบำรุงผิวหน้า  และโฟมล้างหน้าที่เหมาะแล้ว  แชมพูก็สำคัญและห้ามมองข้ามเด็ดขาด  เพราะเวลาเราล้างแชมพูก็จะไหลผ่านหน้าเรา  ดังนั้นให้เลือกแชมพูที่ไม่แรงมากมันจะได้ไม่ส่งผลอันตรายต่อผิวหน้าเรานะ
8. เลี่ยงการทำอะไรกับผิวมากเกินไป
       ถ้าอยากมีผิวใส  ตอนนี้ต้องเลี่ยงไปก่อน  ต้องรักษาสิวให้หายสนิทเสียก่อนเริ่มบำรุงผิว  งดเว้นการสครับผิว  หรือทาครีมสารพัดโหมกระหน่ำ  ส่วนการทำผิวให้บิ๊งใส  รอจนกว่าสิวหมดก่อนแล้วค่อยลุยขั้นต่อที่สอง

การแก้นอนกรน



   เหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่การนอนกรนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้คู่สามีภรรยาทะเลาะกันบ้านแตกมาแล้ว เพราะเวลาพักผ่อนกลับไม่ได้หลับอย่างเต็มที่  ด้วยเสียงครืนคราดของคนข้างๆ  ดังสนั่นอยู่ข้างรูหู  ถ้าสองเสียงประสานกันก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าดังเดียวขอให้รีบแก้ไขทันที  ซึ่งวิธีนี้คุณเคยผ่านมาตั้งแต่เกิดแล้ว นั่นคือการอมจุกยางของเด็กทารกไว้ในปาก วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของคุณอยู่นิ่ง ทำให้เนื้อเยื่อเพดานไม่กระเทือนสั่นไหว จึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากด้วยอาจจะเขินไปหน่อย แต่ลองดูเถอะ  เพื่อสุขภาพของคนนอนข้างๆคุณ

วิธีการทำให้ดวงตาสดใสเปล่งประกาย


To  Do
1. สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดด สาเหตุของผิวหมองคล้ำและริ้วรอยรอบดวงตา
2. การนอนหมอนสูงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดการคั่งของเหลวใต้ตา ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดถุงให้ตาบวม
3. การใช้มือหรือผ้าขยี้กาเร่งให้เกิดริ้วรอยคล้ำหรือริ้วรอยก่อนวัย
4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ผสมวิตามินเอและบี  ลดรอยคล้ำและริ้วรอยรอบดวงตาได้
5. การลบเครื่องสำอางรอบดวงตาต้องใช้คลีนซิ่งเฉพาะสำหรับดวงตา ขอบบนให้เช็ดจากหัวตาไปหางตา ขอบล่างเช็ดจากหางตาไปหัวตา
6. บริหารดวงตาโดยการกลอกตาตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกากลับ 3 – 4 ครั้ง ช่วงเข้าและเย็น จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตา  ลดปัญหาถุงใต้ตาก่อนวัยได้
7 เมื่อตาดูอิดโรย ถุงใต้บวม ใช้สำลีชุบน้ำเย็นประคบรอบดวงตา ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ผิวดูสดชื่อมีชีวิตชีวา
To  Eat
8. ผลไม้ประเภทแตงมีซีแซนทินซึ่งเป็นสาระสำคัญในดวงตา  ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต  และป้องกันปัญหาสายตาได้
9. กินผลไม้  ผัก  ถั่วให้มาก  เพื่อเสริมวิตามินเอ ซี  และอี  ช่วยบำรุงสายตา
10. สารแคโรทีนนอยด์  ในผักปวยเล้งและแครอทช่วยป้องกันจอตาเสื่อม
Secret Recipe
11. สูตรบัวบกมิลค์เฮิร์บ ลดความหมองคล้ำรอบดวงตา นำใบบัวบกสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ  น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ  นมสด 2 ช้อนโต๊ะและแป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา ปั่นรวมจนเป็นเนื้อคลีมข้น ใช่สำลีชุบพอชุ่มแปะบนขอบตาล่างสักครู่ แล้วดึงออกจากหางตา ล้างหน้าให้สะอาด
12. นำแตงกวาฝานบางแช่เย็นวางบนเปลือกตา จะช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าจากการใช้ดวงตามาทั้งวัน
13. บดเนื้อมะระกอสุกแล้วนำมาพอกบริเวณรอยตีนกา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที เอนไซม์ในมะละกอจะช่วยให้รอยตีนกาดูจางลง


มารู้จักประโยชน์ต่างๆ ของไข่กัน


     ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากคนมองข้ามไป  เช่น  ไข่มีประโยชน์ต่อสายตา  สารแครโรตินอยด์  โดยพาะ  ลูทีน  และ ซีแวนทิน  ซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็น  คนที่กินไข่วันละฟอง  จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกน้อยกว่า  โปรตีนจากไขมีคุณภาพสูง  ไข่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนทุกตัว  จึงเป็นโปรตีนที่ดี  ไข่เป็นแหล่งที่ดีของโคลีน  โคลีนเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบสนอง  ระบบประสาทและระบบหัวใจ  การกินไข่อาจช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน  โรคหลอดเลือดสมอง  และโรคหัวใจ
     ไข่แดงมีกรดไขมันจำเป็น  แม้ว่าไข่แดงจะมีคอเลสเตอรอลมาก  แต่ในไข่แดงจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3  ดีเอชเอ  (ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อตา)  และกรดโอเมก้า 6  กรดอะราคิโดนิก  (ซึ่งจำเป็นสำหรับผิวหนัง  เส้นผม  ความต้องการทางเพศ  ระบบสืบพันธุ์  การเจริญเติบโต  และการตอบสนองต่อบาดแผล  เด็ก  หญิงมีครรภ์  หญิงให้นมบุตร  คนที่มีปัญหาเรื่องอัลไซเมอร์)  และไข่แดงเป็นแหล่งอาหาร  วิตามิน  ดี  ตามธรรมชาติ  อาหารอื่นหลายชนิดที่มีวิตามิน  ดี  ไม่ได้มาจากธรรมชาติ  เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง

รักแร้….ดูแลได้

armpit3



    รักแร้เป็นส่วนของข้อพับใต้วงแขนที่ประกอบด้วยรูขุมขนและต่อมเหงื่อปริมาณมาก  โดยเฉพาะต่อมเหงื่อที่พบแต่ในบริเวณข้อพับหรือขาหนีบ  ชื่อว่า apocrine gland ซึ่งจะสร้างเหงื่อที่มีสารจำพวกฟีโรโมนอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัว  หรือที่เรียกว่า “กลิ่นเต่า” บริเวณรักแร้จึงเป็นจุดซ่อนเร้นที่ต้องดูแล  หมั่นกำจัดขน  และป้องกันการเกิดกลิ่นอยุ่เสมอ
เกลี้ยงเกลา  ไร้ขน
ร่างกายสร้างขนขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่น  แต่ขนที่ขึ้นบริเวณรักแร้ซึ่งเป็นจุดอับจะทำให้เกิดการหมักหมมของแบคทีเรียและกลิ่นเหม็นทั้งยังขัดกับความเชื่อเรื่องความสวยงามแบบเกลี้ยงเกลา  การกำจัดขนรักแร้ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธีตามความชอบ  ความสะดวก  และงบประมาณ  แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียให้ชั่งใจก่อนทำดังต่อไปนี้
โกน : ข้อดี  ง่าย  สะดวก  กำจัดขนรวดเร็ว
        ข้อเสีย  เนื่องจากรากขนยังอยู่  ขนจึงงอกเร็ว  แข็งและเป็นตอนอกจากนี้การโกนอาจขูดผิวหนัง   ทำให้อักเสบและติดเชื้อโรคได้
ถอน : ข้อดี กำจัดขนแบบถอนรากออกมาด้วย  ทำให้ขนที่งอกขึ้นใหม่ใช้เวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้ง
        ข้อเสีย  ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถอนออกหมด  และจะทำให้เกิดตุ่มลักษณะเหมือนหนังไก่เนื่องจากขนคุดได้
แว็กซ์ เหมาะกับคนที่มีขนยาวและหนา  วิธีนี้รวดเร็วกว่าการถอน  ขนที่ขึ้นใหม่จะนุ่มและงอกช้าประมาณ 6 ศัปดาห์ ข้อเสีย  ค่อนข้างที่จะเจ็บ  ทำให้เกิดตุ่มหรือแสบแดงได้  และทำให้รูขุมขนใหญ่ขึ้น
เลเซอร์ 
: ข้อดี เป็นการทำลายรากขน  ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่อีก  ข้อเสีย  ต้องกำจัดซ้ำประมาณ 4-6 ครั้ง  และเสียค่าใช้จ่าย  ทั้งหมด 15,000 ขึ้นไป
จี้ด้วยไฟฟ้า  :  ข้อดี กำจัดขนได้ประมาณ 15 – 20 ปอร์เซ็นต์ของจำนวนขนที่จี้ด้วยไฟฟ้าในแต่ละครั้ง ข้อเสีย  อาจเกิดแผลไหม้  หรือการระคายเคือง  ต้องใช้เวลานาน  และเสียค่าใช้จ่ายในการจี้แต่ละครั้งประมาณ 3,000 – 5,000 บาทต่อครั้ง
หลังกำจัดขนอาจใช้ผ้าซุบน้ำแข็งโปะเพื่อกระวับรูขุมขน  และควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี  เช่น  โลชั่น  น้ำยาดับกลิ่นเหงื่อ ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันและอักเสบขึ้น
สดชื่น  ไร้กลิ่น
บริเวณรักแร้มีต่อมเหงื่ออยู่ 2 ชนิดคือ  Ecrine gland  และ Apocrine gland  ต่อมชนิดแรกพบได้ทั่วร่างกาย  ผลิตเหงื่อชนิดใสและมักไม่มีกลิ่น  ส่วนต่อมเหงื่ออีกชนิดพบในบริเวณข้อพับ  ขาหนีบ  จะผลิตเหงื่อที่มีความเหนียวกว่าและมีกลิ่น  นอกจากนี้ยังพบสาเหตุกลิ่นรักแร้จากพันธุกรรมและการทำงานที่ผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อ  ปัญหากลิ่นตัวที่เกิดขึ้นจากสาเหตุทั้งหมดนี้แก้ไขได้ดั้งนี้
1. ทำความสะอาดด้วยสบู่เพื่อชำระล้างเหงื่อ
2. กำจัดขนเพื่อลดการหมักหมมของแบทีเรีย
3. ใช้ยาระงับกลิ่นกาย  ที่มีให้เลือกทั้งสเปรย์  โรลออน และสติ๊ก  ซึ่งจะแตกต่างกันเพียงรูปลักลักษณ์นอก  แต่คุณสมบัติไม่ต่างกันแต่ต้องระวังผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบน้ำมัน (Oil) เพราะอาจทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันได้  และผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ (antiperspirant) ซึ่งมีการวิจัยพบว่า  สารลดการขับเหงื่อจะไปปิดกั้นต่อมเหงื่อจนก่อให้เกิดมะเร็งได้หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
4. ใช้สารส้ม  เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นด่างจึงช่วยลดความเป็นกรดในเหงื่อลงได้  ช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นตัวอย่างได้ผล  ปัจจุบันมีผลิตภัฌฑ์จากสารส้มออกมากมายหลายรูปแบบและได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ  เช่น  แป้ง  โรลออน  สเปรย์
5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น  เช่น กระเทียม  แอลกอฮอล์ สะเดา
6. หากกลิ่นตัวเพราะการทำงานทีผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อใช้ยาปฏิชีวนะประเภทครีม
วงแขนขาวเนียน
ปัญหารักแร้ดำเกิดได้จาดหลายสาเหตุ  คือ  จาการอักเสบเรื้อรังที่มีสาเหตุจากการเสียดสีบริเวณใต้วงแขน  ปริมาณเม็ดสีหรือเมลานินมากเกินไป  การใช้ผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่เป็นประจำ  เมื่อแอลกอฮอล์ผสมอยู่เป็นประจำ  เมื่อแอลกอฮอล์ระเหยจะดึงน้ำจากผิวไปด้วย  ทำให้ผิวแห้งและเกิดรอบดำขึ้นได้
วิธีปรับสีผวใต้วงแขนให้ขาวขึ้นนั้นทำให้หลายวิธี
1. ใช้ยาหรือเวชสำอางลดการทำงานทำงานของเม็ดสี  เช่น ยาในกลุ่มไวเทนนิ่ง  ได้แก่ kojic Acid, Licorice, retinal ที่ไม่มีส่วนผสมของสารปรอท  โดยซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทาวงแขนขาวที่มีผสมกรดผลไม้ (AHA) มีความเข้มข้น 5 – 8 เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก  ทำให้ผิวดูขาวกระจ่างใสยิ่งขึ้น
3. เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนทุก 6 เดือน  เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับสารเคมีตัวเดิมนานไปอาจเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง
เพียงเท่านี้ปรากฏการณ์วงแขนขาวสะกดใจก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปแล้ว


เทรนด์ฮอตอาหารธรรมชาติ…..อาหารเพื่อสุขภาพ

ธัญญาหาร

    ปัจจุบันเทรน์การบริโภคอาหารจากธรรมชาติได้เข้ามามีทบบาทอย่ามาก ทั้งยุโรป อเมริการวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีการตื่นตัวเรื่องการบริโภคอาหารจากธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ให้คุณประโยชน์สารอาหารจากธรรมชาติ  ได้กลายเป็นกระแสนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แทนเครื่องดื่มประเภทน้ำอักลมและกาแฟ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ  เพราะในปัจจุบันเครื่องดื่มบางชนิด  ได้เพิ่มคุณประโยชน์จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น มอลต์ นมโคและธัญญาหารสุดฮิต ซึ่งล้วนเป็นแหล่งโปรตีน   คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด  ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็ว  และลดอาการล้าอ่อนเพลียจากภาวะที่เรียกว่า “Energy Short” หรือพลังงานเกิดการลัดวงจรจากการที่ร่างกายทำงานหนักมักพบบ่อยในวัยทำงาน 
อาหารธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์สูงเหมาะกับทุกวัย แต่ต้องรู้จักเลือกให้เหมาะสมซึ่งอาหารธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในลำดับต้นๆ  นอกจากนมโคที่เป็นที่นิยมบริโภคมานานแล้ว  ยังมีกลุ่มธัญญาหารต่างๆ ที่กำลังฮิตในปัจจุบัน ได้แก่ งาดำ ถั่วดำ ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี และมอลต์  เป็นต้น  นอกจากรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตแล้ว ยังเป็นแหล่งวิตามินแลแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ทั้งวิตามินเอ  บี1 บี2 บี บี12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก โฟเลทและไอโอดีนอียังทั้งมีใยอาหารสูง ซึ่งเป็นอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ทำหน้าที่เหมือนเจลที่คอยอุ้มน้ำไว้ ลำไส้จึงขับเคลื่อนได้ดี ช่วยลดปัญหาเรื่องท้องผูกและความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ได้
ปกติร่างกายคนเรา ควรได้รับปริมาณใยอาหาร 20-25 กรัมต่อพลังงานที่ร่างกายต้องการ 2,000 แคลอรีต่อวัน จึงแนะนำให้รับประทานอาหารผักและผลไม้ทุกมื้อ แต่อย่างไรก็ดี ปริมาณใยอาหารที่ได้รับจากผักผลไม้นั้นจะให้ได้ปริมาณที่แนะนำจะต้องรับประทานในปริมาณที่เยอะมากๆ ซึ่งเป็นไปได้ยากได้ ดังนั้นหากเราสามารถรับประทานอาหารธัญญาหารต่างๆได้ทุกมื้อก็จะช่วยให้เราได้รับใยอาหารขึ้นในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ผู้รักสุขภาพธัญญาหารในปัจจุบันได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นสินค้าออกสู่ตลาดมากมาย เช่น ในรูปของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูงในทุดเพศทุกวัย เพราะจากจะสะดวกแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารจากธรรมชาติซึ่งดีต่อสุขภาพอีกด้วยตัวอย่างจากเครื่องดื่มธรรมชาติซึ่งได้รับความนิยมต่อเนื่องมาช้านาน ได้แก่ เครื่องดื่มมอลต์ เพราะมอลต์เป็นคุณค่าจากธรรมชาติที่ได้รับจากข้าวบาเลย์ที่ไม่ผ่านการขีดสี  อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่ในวัยดำลังเจริญเติบโต ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและสมองไปพร้อมๆกัน หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยระยะพักฟื้นที่ต้องการสารอาหารเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย รวมทั้งผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูอาหารจากธรรมชาติ โดยคำนึงถึง 3 องค์ประกอบสำคัญคือ หวานน้อย ไขมันต่ำ มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ต้องผลิตโดยบริษัทที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้คุณค่าจากธัญญาหารอย่างแท้จริง เพราะจากวัตถุดิบและขบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐานแล้ว นอกจากจะไม่ให้คุณค่าอาหารจากธรรมชาติแล้ว ยังอาจมีโทษร้ายแรงต่อสุขภาพอีกด้วย

7 ประโยชน์ของโยเกิร์ตต่อร่างกาย

โยเกิร์ต1

1. โยเกิร์ตย่อยง่ายกว่านม
  1. สาวๆ  หลายคนร้องอี้เมื่อได้ยินคำว่านม  ก็เพราะว่าดื่มนมทีไรมีอันต้องวิ่งเข้าห้องน้ำกันแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว  นั่นเพราะว่าคุณนั้นไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในน้ำนมได้  แต่ถ้าคุณหันมาทานโยเกิร์ตรับรองได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องท้องเสียอย่างแน่นอนจ้า  เพราะขั้นตอนการทำโยเกิร์ตนั้นน้ำตาลแลตโตสจะถุกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกาแลคโตสและกลูโคส  โยเกิร์ตจึงทานง่ายแถมยังย่อยง่ายไร้ปัญหา
2. โยเกิร์ตดีต่อลำไส้
โยเกิร์ตประกอบไปด้วยแบททีเรียแลตโตบาซิลัสมากมาย  ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ของเราโดยตรงเลยล่ะ  เพราะว่าเจ้าแบทีเรียตัวนี้จะไปช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้  แถมยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ  ที่เกี่ยวกับลำไส้อีกด้วย
3. โยเกิร์ตช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มีการวิจัยมาแล้วนะว่าการทานโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วยนานติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนรับรองว่าแบททีเรียตัวดีในโยเกิร์ตนั้นจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของคุณให้แข็งแรงขึ้นอีกหลายเท่า  แล้วก็ไม่ป่วยง่ายอีกด้วย
4. โยเกิร์ตช่วยลดเชื้อราฆ่าเชื้อโรค
เชื่อไหมว่าการทานโยเกิร์ตทุกวันจะสามารถช่วยลดเชื่อราที่ช่องคลอดได้  แถมลดการติดเชื้อที่ช่องคลอดได้อีกต่างหาก  สาวคนไหนกลุ้มเฮดกับเรื่องเชื้อราของน้องหนูเราอยู่นั้น  ลองหันมาทานดูสิ  รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลย  นอกจาดนี้แล้วยังช่วยให้ช่วงมีประจำเดือนทุกครั้งควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำด้วยเราะสะพคุณของเจ้าโยเกิร์ตนี้จะช่วยลดเชื้อรานั้นเอง  แล้วก็ช่วยกำจัดเชื้อโรคในช่องคลอดเราด้วย
5. โยเกิร์ตอุดมไปด้วยแคลเซียม
โยเกิร์ตถ้วยโปรดของคุณนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมแบบเต็มเปี่ยมถ้วยเลยแหละ  เผลอๆ  มากกว่าวะด้วยซ้ำ  ทานบ่อยๆ  ก็จะเป็นการเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างายเรา  แถมยังช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีอีกด้วย  ฟันธงเลยแหละว่าทานบ่อยๆ  ห่างไกลโรคกระดูกพรุนแน่นอนเจ้าค่า
6. โยเกิร์ตช่วยลดกลิ่นปาก  ฟันผุ  โรคเหงือก
มีการวิจัยจากแดนปลาดิบโน้นว่า  การเลือกทานโยเกิร์ยสูตรไร้น้ำตาลนั้นจะช่วยลดอาการกลิ่นตุๆ  ที่ปากได้  นอกจากนี้แมงก็ไม่มีทางกินฟันให้ผุแน่นอน  แถมยังไม่มีโรคเหงือกให้เจ็บปวดเล่นอีกด้วยล่ะ  ขอบอกนิดๆ  น่ะว่าที่เราไม่มีกลิ่นมากนั้นก็เนื่องมาจาก แบททีเรียสองสหายทั้งแลคโตบาซิลลัสและสเตร็ปโตค็อสคัส  ต่างช่วยกันขยันขันแข็งทำลายปริมาณไฮโดรเจนซัสไฟด์ที่เป็นต้นเหตุของอาการกลิ่นปากนั้นเอง
7. โยเกิร์ตช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
แบททีเรียตัวเก่งอย่างแลลโตบาซิลัสที่ทมีอยู่เยอะแยะในโยเกิร์ตนั้น  ขอบอกว่าเจ้าตัวนี้เก่งมากๆ เพราะว่าสามารถช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือดเราไม่ให้สูงเกินไปได้  ทำให้เราไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง รู้ถึงเรื่องความมหัสจรรย์ของโยเกิร์ตกันแล้ว  จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ  รีบไปหยิบโยเกิร์ตในตู้เย็นมากินเร็ว  จะได้สุขภาพดีกันถ้วยหน้า

กินทับทิม บำรุงหัวใจ ยับยั้งมะเร็ง


ผลไม้มีประโยชน์ที่หลายคนคาดไม่ถึง
      พูดถึง “ทับทิม” ผล กลม ๆ เมล็ดสีแดง ๆ เด็กสมัยนี้อาจะไม่ค่อยรู้จัก แต่คนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายรู้จักกันดี โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งนิยมนำผลทับทิมมาไหว้พระไหว้เจ้าเพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญงอกงามและความอุดมสมบูรณ์ (อาจเป็นเพราะทับทิมมีเมล็ดมาก มีความสวยงามและรับประทานได้) จึงมักให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน เพื่อให้มีลูกหลานมาก ๆ และยังเชื่อด้วยว่า ใบและกิ่งทับทิมช่วยขับไล่ภูติผีปีศาจ ดังนั้นจึงมักนิยมปลูกต้นทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน
แต่จริง ๆ แล้วทับทิมไม่ได้เกิดในเมืองจีนค่ะ สันนิษฐานกันว่าต้นกำเนิดของทับทิมนั้น อยู่ในแถบเอเชียตะวันตกหรือดินแดนที่เรียกกันว่าเปอร์เซีย (ปัจจุบันก็คืออิหร่าน) มีมานานหลายพันปีแล้ว เพราะปรากฏในบันทึกมากมายในสมัยนั้น เช่น เทวตำหนักกรีก การแพทย์แผนโบราณของอียิปต์ คัมภีร์ไบเบิล เป็นต้น โดยได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรค ในตำรับการแพทย์โบราณของเปอร์เซีย ระบุว่า ทับทิมมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยฟอกไตและท่อปัสสาวะ ช่วยการทำงานของหัวใจและตับ เป็นยาบำรุงกำลัง ฟอกโลหิต ช่วยในการย่อยอาหารขจัดไขมันส่วนเกิน ปรับฮอร์โมนในสตรีวัยทอง ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ป้องกันโรคขี้หลงขึ้ลืมและช่วยให้ผิวพรรณดี
ทั้งนี้ได้มีการศึกษาวิจัยในระยะหลัง ช่วยยืนยันถึงสรรพคุณทางยาของทับทิมไว้มากมาย ได้แก่
ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง มีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน โรคบิด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายสิบชนิด ลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้าน และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อลูกหมาก เป็นต้น
การวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา พบว่าในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา รวมทั้งทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสม ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดี มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย ช่วยบำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้น และลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้สารจากทับทิมยังช่วยบำรุงตับ มีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับ และยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย
รวมถึงมีการทดลองทางเภสัชวิทยาพบว่า เปลือกหุ้มรากทับทิมมีฤทธิ์ในการขับพยาธิตัวตืด นอกจากนี้เปลือกหุ้มรากยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อได้หลายชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์ เชื้อวัณโรค เป็นต้น และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ผิวหนังด้วย
ส่วนตำรับการแพทย์แผนไทยได้บอกถึงสรรพคุณของทับทิมว่า
ใบ มีรสฝาด แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด สมานแผล ดอก มีรสฝาดหวาน ต้มดื่มแก้หูชั้นในอักเสบ บดโรยแผลที่มีเลือดออก เนื้อมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงหัวใจ เปลือกมีรสฝาด ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ถ่ายพยาธิ แก้ตกขาว สมานแผล ฆ่าเชื้อโรค เปลือกราก ต้มดื่มแก้ระดูขาว แก้ตกเลือด ถ่ายพยาธิ
นอกจากนี้ทางสมุนไพรของจีนถือว่าทับทิมมีฤทธิ์เย็น รสหวานอมเปรี้ยวจึงช่วยแก้กระหาย ป้องกันโลหิตจางระงับกลิ่นปาก ลดไข้ แก้ตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ และบำรุงตา
ถึงแม้จะรู้จักกันมาหลายพันปีแล้วว่า ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้ หลายชนิด แต่ก็ไม่ค่อยมีใครชอบกินทับทิม เหมือนผลไม้อื่น ๆ แค่นำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าทับทิมมีเนื้อน้อยก็เป็นได้ บ้านเราจึงไม่ค่อยมีใครปลูกขาย มีแต่ปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้าน ทับทิมก็เลยกลายเป็นผลไม้หายาก ค่อนข้างมีราคาแพง แต่ปัจจุบันมีทับทิมจากประเทศจีนส่งเข้ามามาก และมีราคาถูกจึงถือเป็นโอกาสดีของผู้บริโภค
แต่ถ้ายังหาซื้อรับประทานลำบากก็น่าจะหาต้นมาปลูกเลยก็ได้ เพราะประโยชน์คุ้มทั้งต้นใบดอกราก

วีดีโอ :: สโมสรสุขภาพ 
                                 สโมสรสุขภาพ ตอน ฝึกสมองกันเสื่อม
                                               
                                   สโมสรสุขภาพ ตอน เท้าบอกโรค

                                  สโมสรสุขภาพ ตอน โยคะหน้าเด็ก

                                  สโมสรสุขภาพ ตอน รวมเด็ดเรื่องสิว